8 เคล็ดล้างหน้าที่คุณไม่เคยรู้

  รู้หรือเปล่า สาเหตุหนึ่งของปัญหาสิว นั่นก็คือการล้างเครื่องสำอางค์ออกจากใบหน้าไม่หมดจด แล้วยังทำให้การบำรุงผิวที่ตามมาลงใบบำรุงอย่างไม่เต็มที่อีกด้วย 

             เรื่องที่น่าสนใจก็คือ มีสาวๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่เชี่ยวชาญเรื่องการแต่งหน้ามากขั้นตอน ยิ่งกว่าการล้างเครื่องสำอางค์เพียงหนึ่งขั้นตอนเสียอีก อย่างนี้ต้องพกเคล็ดลับกันด่วน ผิวจะได้หายใจได้ และไม่แบกสารเคมีจากเครื่องสำอางค์ไว้บนใบหน้าอีกต่อไป

เคล็ดข้อ 1: เลี่ยงสารล้างหน้าที่มีสารสังเคราะกลุ่ม SLS (หรือ SLES)
  
             นั่นเพราะสารเคมีกลุ่มนี้ทำหน้าที่ลดแรงตึงผิว (Sodium Lauryl Sulfate) ทำให้โฟมล้างหน้าเกิดฟอง หลังล้างหน้าผิวจะรู้สึกตึง จึงทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าหน้าสะอาด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เป็นสารเคมีควรเลี่ยงที่อาจทำให้ผิวแพ้ได้ และในปัจจุบันก็มีสารทดแทนสารเคมีตัวนี้มากมายและยังสกัดได้จากธรรมชาติอีกด้วย

เคล็ดข้อ 2: เคล็ดคือการรักษาความสมดุล
 
             จุดประสงค์ของการล้างหน้า (ที่ไม่รวมการลบเครื่องสำอาง) คือการชะล้างคราบสกปรกและไขมันที่อาจไปอุดตันรูขุมขน แต่การใช้โฟมล้างหน้าที่ทำให้ผิวตึง จะสร้างโอกาสในการนำไขมันตามธรรมชาติให้หลุดออกไป และทำให้สภาพความเป็นกรดอ่อนๆ ของใบหน้า (ที่ทำหน้าที่กำจัดแบคทีเรีย) เปลี่ยนไป ทางที่ดีจึงควรเน้นสารล้างหน้าที่ไม่ทิ้งความตึงผิว และยังคงรู้สึกว่าผิวชุ่มชื่นหลังใช้

เคล็ดข้อ 3: ล้างหน้าตอนเช้าน้อยๆ  

             เรากำลังหมายถึงการล้างหน้าที่ให้อ่อนโยนที่สุดในช่วงเช้า อาจเป็นสารล้างหน้าที่ไม่มีฟอง การเช็ดด้วย Wipe ที่อ่อนโยน หรือแม้แต่การล้างน้ำเปล่า นั่นเพราะช่วงเวลานอนผิวหน้าของไมได้เผชิญกับฝุ่นควันใดๆ นอกเสียจากการขับเหงื่อและผลิตไขมันเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีความจำเป็นอะไร ที่เราจะใช้โฟมล้างหน้าฟองหนาๆ ให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น

เคล็ดข้อ 4: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็พอ

             เมื่อเคล็ดลับคือการรักษาระดับไขมันตามธรรมชาติให้ทำงานตามปกติ การล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น ก็เพียงพอมากแล้ว แต่เน้นสักนิดในช่วงเย็น ที่หากเราแต่งหน้ามาก ก็ควรเช็ดล้างด้วยคลีนซิ่ง โลชั่น หรือ คลีนซิ่ง ออยล์ ก่อน จากนั้นจึงค่อยล้างออกอีกครั้งเพื่อให้ผิวสะอาดที่สุด อาจตามด้วยโทนเนอร์ที่เน้นสารสกัดจากรรมชาติ เพื่อให้กลไกผิวทำงานสอดคล้องกัน

เคล็ดข้อ 5: กดเบาๆ และนวด

             ผิวหน้ามีความบอบบางมาก ยิ่งเราลงแรงมากเท่าไร ผิวอาจบอบช้ำ เกิดริ้วรอย หรือรูขุมขนอาจกว้างมากขึ้น ขณะล้างหน้า ลองขยี้เนื้อเจล หรือครีมล้างหน้าก่อนบนฝ่ามือ จากนั้นกดเบาๆ บนผิวแล้วนวดวนเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า ล้างออกให้หมดจด และใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มๆ ซับเบาๆ ให้แห้ง

เคล็ดข้อ 6: แยกการล้างหน้าและการสครับออกจากกัน

             แม้การใช้ครีมล้างหน้าที่ผสมสารสครับ (แบบ 2 in 1)  จะทำให้เรารู้สึกสะดวกสบาย แต่ก็สามารถทำร้ายผิวได้อย่างไม่ตั้งใจ เพราะการล้างหน้าควรเบามือ ในขณะที่การสครับคือการกดและใช้สารบางชนิดมาช่วยขัดลอกเซลล์ผิว ที่ไม่ควรทำบ่อยๆ หรืออย่างมากเพียงอาทิตย์ละครั้ง ดังนั้นยิ่งไม่เป็นการดีแน่หากเราล้างหน้าพร้อมสารสครับในทุกวัน ที่เป็นการกำจัดสารหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติออกอย่างไม่ตั้งใจ

เคล็ดข้อ 7: ล้างมือให้สะอาดก่อนล้างหน้า

             เพราะมือของเราสะสมเชื้อโรคไว้มากมายในแต่ละวัน การปล่อยให้เชื้อโรคเหล่านี้ติดบนใบหน้าจึงไม่ดีแน่ ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดก่อนด้วยสบู่ หรือล้างหน้าหลังอาบน้ำ จากนั้นจึงค่อยบีบสารล้างหน้าลงบนฝ่ามือ แล้วล้างตามขั้นตอน

เคล็ดข้อ 8: สระผมก่อนล้างหน้า

              มีสาวๆ หลายคนมีสิวเพราะแพ้แชมพู ด้วยเพราะแชมพูมีสารเคมีหลายๆ ชนิดเป็นส่วนผสม ซึ่งมีความเข้มข้นสูง เสี่ยงต่อการระคายเคืองง่าย ดังนั้นแล้ว ควรที่จะล้างหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งยังเป็นการทำความสะอาดคราบแชมพูออกจากใบหน้าไปในตัว

8 สูตรมาสก์หน้าผลไม้ ทำเองเลยง่ายดี

 เพราะเรารู้กันดีว่าของสดๆ จากธรรมชาติ ไม่ว่าจาก ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้หลายๆ ชนิดมีสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงผิว และเสี่ยงต่อการแพ้ได้น้อย เราจึงสามารถนำของสดๆ มาพอกบำรุงผิวหน้ากันโดยตรงกันได้เลย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น และมอบสารอาหารให้ซึบซาบลงสู่ผิวชั้นนอก ขับให้ผิวสวย นุ่มเนียนทันทีหลังล้างออก

        แต่ก่อนลงมือคว้าของดีจากตู้เย็นมาปรุงสูตรมาสก์หน้า ขอแนะนำสักนิดว่า ก่อนอื่นควรดูสภาพผิวของเราเองก่อนอื่นใด ว่ามีสภาพผิวแบบไหน และมีประวัติแพ้อะไรมาบ้าง จากนั้นจึงเลือกผลไม้ที่เหมาะกับผิวเราจริงๆ อาทิเช่น คนที่ผิวแห้ง ก็ควรเลือกอาหารผิวที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว ในขณะที่คนผิวมันควรเลือกอาหารผิวที่ให้ความตึงกระชับ และมีรสเปรี้ยวนิดๆ หรือคนมีสิว มีรอยแผลเป็น ก็ควรเลือกสารสกัดที่มีกรดธรรมชาติในการลดเลือนรอยสิวให้จางลงพร้อมการบำรุงที่ดีไปในตัว

      นอกจากนี้ การเลือกส่วนผสมในการมาสก์หน้าที่เข้ากันได้ก็สำคัญไม่น้อยเลย อย่าลืมเชียวว่า แม้การปรุงสูตรสวยสไตล์ธรรมชาติๆ อย่างนี้จะไม่มีข้อจำกัดมากมายนัก แต่ก็ควรเลือกชนิดที่เข้ากัน และมีปฏิกิริยาทางเคมีที่ส่งเสริมกันด้วย หรือถ้าให้ง่ายเข้า ก็ลองพกสูตรที่เรานำมาฝากไปปรุงสวยกันก่อน งานนี้คงมีสักสูตรที่โดนใจเป็นแน่ เพราะ 10 สูตรเหล่านี้ ไม่ลองไม่ได้เลย ง่ายๆ แค่บดแล้วนำมาผสมกัน ก็นำไปพอกบนหน้าสะอาดๆ ได้เลย

1. แตงกวาบด + โยเกิร์ต (หรือนม)

        อยากมีผิวนุ่มๆ ต้องสูตรนี้เลย เน้นว่าเอาแตงกวาปอกเปลือกก่อนแล้วสับละเอียด ผสมโยเกิร์ตแบบที่ไม่มีรสสักนิด ผิวจะได้ชุ่มชื่นทันที

2. มะขามเปียก + น้ำผึ้ง

        สูตรนี้อาจเติมน้ำผึ้งมากหน่อย เพราะมะขามเปียกมีความเป็นกรดรรมชาติสูง สูตรนี้ช่วยให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติได้เลย

3. แอปเปิ้ลบด + น้ำผึ้ง

        กินแอปเปิลแล้วผิวสวย และยังดีต่อผิวด้วย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย สูตรนี้ใช้ได้กับทุกผิว

4. กล้วยบด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง

        ใครผิวมันขอแนะนำ เพราะกล้วยบดดีจริงๆ กับการควบคุมความมัน ใช้แล้วผิวนุ่มจนสัมผัสได้

5. มะละกอ + ฟักทอง + น้ำผึ้ง

        สูตรนี้ให้กลิ่นหอมสดชื่นมากๆ มะละกอและฟักทองบดยังช่วยเติมสารแอนติออกซิแดนท์ให้ผิวได้โดยตรง

6. มะเขือเทศ + มะนาว + น้ำผึ้ง

        วิตามินเพียบ สูตรนี้กระชับผิวนี้ใช้ได้ทุกสภาพผิวจริงๆ แถมในมะเขือเทศยังมีไลโคปีน ที่ดีต่อการลดฝ้าได้ด้วย

7. ผงขมิ้น + ดินสอพอง + มะนาว

        สูตรไทยแท้ๆ ที่นอกจากผิวจะเนียนสวยขึ้นด้วยขมิ้น ก็ยังเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการลดสิวได้ดีอีกด้วย

8. ว่านหางจระเข้  + โยเกิร์ต

        ปรับผิวให้ขาวใส ชุ่มชื่น หอมนุ่มได้เลย เพราะว่านหางจระเข้นั้นดีกับผิวแห้ง ผิวมีสิว และผิวคล้ำแดดที่สุด

อาหารบํารุงผิวพรรณ เพื่อผิวสวยทุกสภาพผิว

   

          เรื่องผิวพรรณเป็นเรื่องที่สาวๆ หลายคนมักจะให้การดูแลมากเป็นเป็นพิเศษเช่นกัน แต่ว่าสาวๆ แต่ละคนก็มีสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น จึงควรเลือกดูแลให้เหมาะสมด้วยนะคะ วันนี้เราเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการช่วยทำให้ผิวของคุณสาวๆ สวยใสได้มาฝากกันค่ะ

– คนผิวแห้ง

อาหารที่ควรทานเพิ่ม : ปลาที่มีน้ำมัน เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลากะตัก เมล็ดธัญพืช ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่าง ๆ เพื่อให้ผิวได้รับไขมัน “ชนิดดี” ที่สำคัญหลายชนิด

อาหารที่ควรลด : ไขมันประเภทมาการีน ฟาสต์ฟู้ด และอาหารสำเร็จรูป มันฝรั่งทอด บิสกิต และน้ำตาลขัดขาว

เหตุผลเพราะ : คนผิวแห้งขาดกรดไขมันชนิดดีที่สำคัญหลายตัวที่ช่วยรักษาความนุ่มชุ่มชื่นของผิวเอาไว้ อาหารที่เราอยากแนะนำให้เพิ่มจะมีไขมันหลัก 2 ชนิด คือ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6
– คนผิวมัน

อาหารที่ควรทานเพิ่ม : ผลไม้ ผักสด เพื่อทำให้ผิวชุ่มชื่น โดยเฉพาะสับปะรด มะละกอ อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดธัญพืช

อาหารที่ควรลด : อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัว ผลิตภัณฑ์นมเนย เนื้อแดง และของทอด อาหารประเภทนี้จะยิ่งทำให้สภาพผิวของคุณแย่ลงได้

เหตุผลเพราะ : อาหารประเภทนี้มีผลต่อความสมดุลของไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ผิวหนังที่ละเอียดอ่อนซึ่งจะไปกระตุ้นให้ผิวผลิตไขมันมากเกินไป
– ผิวแพ้ง่าย

อาหารที่ควรทานเพิ่ม : วิตามินเอ และซี ซึ่งพบมากในแครอต มะม่วง กีวี เนื้อสัตว์ ข้าวโอ๊ต และถั่วเปลือกแข็ง ควรทานให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มธาตุสังกะสี

อาหารที่ควรลด : อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด การแพ้อาหารอาจเป็นผลเสียต่อผิว จึงควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษานักโภชนาการ

เหตุผลเพราะ : อาหารรสจัดจะทำให้ระบบการย่อยของร่างกายเกิดการระคายเคืองทำให้เยื่อบุอักเสบ ผลคือทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตื่นตัวซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหน้าแดงและผดผื่น การแพ้อาหารชนิดอื่นก็ทำให้เกิดปัญหาคล้ายกันค่ะ

18 เคล็ดลับสุขภาพดี

 1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
            ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

 2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
          ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
         ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
         ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
        หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

 6. ความเครียดทำลายผิว
        ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
        เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
         หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม
         ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
         เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว…อันตราย
          ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
          แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่
          ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
           การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
          ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
           สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
          สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ 

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
          ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

Hello world!

Welcome to WordPress.com. After you read this, you should delete and write your own post, with a new title above. Or hit Add New on the left (of the admin dashboard) to start a fresh post.

Here are some suggestions for your first post.

  1. You can find new ideas for what to blog about by reading the Daily Post.
  2. Add PressThis to your browser. It creates a new blog post for you about any interesting  page you read on the web.
  3. Make some changes to this page, and then hit preview on the right. You can always preview any post or edit it before you share it to the world.