เคล็ดลับสุขภาพผมดี กับโยเกิร์ต

สุขภาพดีคงเริ่มมองได้ชัดเจนจากภายนอก โดยเฉพาะรูปร่าง คนรูปร่างดีได้เปรียบแล้วส่วนหนึ่ง ไม่ว่าหน้าตา ผิวผรรณที่สะอาด ตลอดจนเสื้อผ้า การแต่งกายที่สบายตา และทรงผมของคนเราก็เป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุุดตาผู้ที่มองเห็นไม่น้อย  วันนี้เลยอยากแนะนำเคล็ดลับผมดกดำมาฝาก วิธีง่ายๆ คือ รับประทานโยเกิร์ต (Yoghurt, Yogurt )
        โยเกิร์ต ที่ว่าควรทำมาจากนมแพะ หรือนมถั่วเหลืองค่ะ เพราะในโยเกิร์ตจะมีแบคทีเรียชนิดหนึ่ง คือ แบคทีเีรียแลคโทบะซิลลัส (lactobacillus) ซึ่งมันจะช่วยในการดูดซึมและย่อยอาหารดีมาก
        ข้อมูลนี้ได้มาจากหนังสือ “มะเร็ง เบาหวาน ริดสีดวง หายได้” และคำยืนยันของคุณหมออารีย์ วชิระมโน  ที่ดูแลคุณแม่โดยการให้รับประทานโยเกิร์ต  วันหนึ่งๆ ก็รับประทาน 3-4 ถ้วยค่ะ เส้นผมที่ขาวของคุณแม่คุณหมอซึ่งอายุ 112 ปี กลับขึ้นใหม่ ดกดำ และเส้นผมดูแข็งแรง ซึ่งก่อนหน้านั้นเส้นผมของคุณแม่ของคุณหมอ เป็นสีขาวและบางจนเกือบหมดศีรษะ  แต่ตอนนี้ขึ้นใหม่และดกดำสวยด้วย อย่างไรก็ตามคุณหมอยังแนะนำให้เราหันมารับประทานเกษตรธรรมชาติ ผักปลอดสารพิษ รวมทั้งรับประทานข้าวกล้อง
       ยังไงก็ทดลองดูนะคะ ดิฉันเองก็จะลองดูซักตั้งค่ะ เพราะผมบางอยู่เหมือนกัน แต่แย่หน่อยตรงที่เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว ผมไม่หงอกขาวนะ แต่ค่อนข้างบางเลย หวังว่าจะได้รับข่าวดีนะคะ        นอกจากโยเกิร์ตจะช่วยให้ผมดกดำสวยแล้ว ยังจัดเป็นอาหารลดน้ำหนักอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี โดยคุณสามารถรับประทานโยเกิร์ตทดแทนอาหารบางมื้อ ขอแนะนำมื้อเช้าค่ะ เพราะจะดีต่อระบบขับถ่ายด้วย

เคล็ดลับการบำรุงเส้นผมให้มีสุขภาพดี

การ มีสุขภาพผมที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่สุขภาพผมที่ดีได้นั้น ต้องเกิดจากการดูแลเอาใจใส่รักษาอย่างทะนุถนอม ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงภาวะความตึงเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงของปัญหาผมร่วง

การ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมนั้น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งในแต่ละชนิดมีสรรพคุณแตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะสมตามสภาพของเส้นผมของแต่ละคน ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหลักจากการสกัด ธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงสารเคมีปนเปื้อน และการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ

น้ำมัน หอม สกัดมาจากต้นพืช ดอกไม้ ผลไม้ เปลือก ลำต้น ต้นหญ้า และเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ น้ำมันหอมเชื่อว่า มีสรรพคุณ การรักษาทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งช่วยปรับปรุงและบรรเทาอาการป่วยบางชนิดได้ บางชนิดสามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ลดอาการบวมบรรเทาอาการเจ็บ กลิ่นหอมสดชื่น ซึ่งมีผลทำให้จิตใจกระปรี้กระเปร่า ร่าเริง ผ่อนคลายจิตใจ คลายเครียด อาทิเช่น เปปเปอร์มินต์ ส้ม มะนาว เกร็ปฟรุต และที ทรี ออย อีกทั้งบำรุงรักษาเส้นผมให้ชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม ละมุนละไม

สาร AHA (เอ เอช เอ) ซึ่งมีอยู่มากในจำพวกพืช ผัก และผลไม้ มีคุณประโยชน์ ช่วยปรับสมดุลค่าพีเอช ของเส้นผมและทำให้เส้นผมเรียบ ป้องกันการฉีกขาด การเสียดสี ดังนั้นผมจึงแวววาว และเงางามวิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยเสริมสร้างเส้นผมใหม่ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ฟื้นฟูความแข็งแรง ช่วยให้ผมเสียกลับคืนสภาพ ผมดี นุ่มสลวย นอกจากนั้นยังขจัด และป้องกัน สิ่งสกปรก ที่สามารถอุดตันหนังศีรษะ ด้วยอณูอันละเอียดสามารถ แทรกซึมลึกสู่เส้นผม ทำให้ผมได้รับ การบำรุง และนุ่มชุ่มชื้น มีชีวิตชีวา

นอก จากนี้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมสกัด ยังมีผลทางด้านจิตวิทยา คือให้ความรู้สึก กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว ผ่อนคลาย หากจะเลือกใช้ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมสกัด เพื่อสุขภาพผมสลวยเงางาม และอารมณ์ดีแจ่มใส

เคล็ดลับผมสวย สุขภาพดี

สาวๆ หลายคนที่มีปัญหาผมแห้ง ผมชี้ฟู ผมเสีย ผมมันและมีปัญหาเรื่องสุขภาพผม วันนี้มีเคล็ดลับดีๆ มาฝากเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเส้นผมให้สวยจากภายในสู่ภายนอก แวะอ่านกันค่ะ

เลือกดูแลผมสวยของคุณยังไงดี

ไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อย ซึ่งอาจทำให้ผมเสียง่าย เนื่องจากผมคนเรามีน้ำมันช่วยหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติค่ะ

ไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อย ซึ่งอาจทำให้ผมเสียง่าย เนื่องจากผมคนเรามีน้ำมันช่วยหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติค่ะ

1.อย่าสระผมบ่อย

ถึงแม้คุณจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งหรือเล่นโยคะก็ไม่ต้องสระผมทุกวัน ปล่อยให้น้ำมันตามธรรมชาติจากหนังศีรษะมาเคลือบบำรุงเส้นผมบ้าง ซึ่งเป็นการดูแลผมตามธรรมชาติอีกทาง แนะนำให้ทำความสะอาดผมด้วยน้ำสะอาด และอย่าใช้ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผมมากจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งตกค้างบนหนังศีรษะ

2.ใช้ครีมนวดชนิดไม่ต้องล้างออก

ผมที่ไม่ได้สระทุกวันมักไม่แห้งกรอบ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ครีมนวดมากมาย เฉพาะวันที่สระผม เลือกครีมบำรุงผมชนิดไม่ต้องล้างออก (Leave-in conditioner) โดยนวดครีมบำรุงเล็กน้อยขณะผมหมาด เพื่อให้ความชุ่มชื้นในปริมาณที่เหมาะสม เส้นผมจะอ่อนนุ่ม มีน้ำหนัก จัดทรงง่าย และดูมีสุขภาพดี

3.ดูแลเส้นผม ให้อาหารผมบ้าง

หาเวลาทำทรีทเมนท์ผมบ้าง เพื่อสุขภาพผมที่ดีและเส้นผมที่แข็งแรงขึ้นค่ะหาเวลาทำทรีทเมนท์ผมบ้าง เพื่อสุขภาพผมที่ดีและเส้นผมที่แข็งแรงขึ้นค่ะ

หาเวลาทำทรีตเม้นท์ อบไอน้ำหรือหมักผมด้วยครีมสูตรเข้มขันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้เส้นผมแข็งแรง มีน้ำหนัก ที่สำคัญ หมั่นเล็มผมส่วนที่แตกปลายออกทุกๆ 4-6 สัปดาห์ ช่วยให้เส้นผมดูมีสุขภาพที่ดีขึ้น

4.ใช้ผลิตภัณฑ์ทีละน้อย

เวลาคุณใส่ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมนั้นแสนจะง่ายดาย แต่เวลาล้างออกกลับมันเยิ้ม แถมล้างยากสุดๆ ทางที่ดี ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆ และใส่บริเวณด้านหลังศีรษะก่อน เพราะถ้าเผลอใส่เยอะเกินไป จะเห็นชัดน้อยกว่าใส่ลงบนผมด้านหน้า หรือด้านบนศีรษะ

5.ระวังการใช้ดรายร์

ถ้าคุณใช้ดรายร์เป่าผมที่มีปลายเป็นโลหะ ระวังอย่าให้โดนเส้นผม เพราะความร้อนจัดจะทำให้เส้นผมแห้งเสีย และดูแลได้ยาก ควรเป่าเฉพาะจุดที่ต้องการเท่านั้น หรือใช้ตัวต่อที่เป็นพลาสติกต่อปลายดรายร์อีกที

6.จัดการเส้นผมยุ่งเหยิง

การหวีผมนอกจากช่วยจัดทรงผมให้เรียบร้อย การเลือกใช้แปรงที่มีคุณภาพยังช่วยกระตุ้นให้เส้นผมมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วยค่ะการหวีผมนอกจากช่วยจัดทรงผมให้เรียบร้อย การเลือกใช้แปรงที่มีคุณภาพยังช่วยกระตุ้นให้เส้นผมมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วยค่ะ

หากเซตผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พบว่าผมบางส่วนยังไม่เป็นระเบียบ ให้ใช้เจลแต่งผมป้ายเพียงเล็กน้อยและแปรงผมไปในทิศทางที่ต้องการ พร้อมกับใช้ดรายร์เป่า

7.เลือกแปรงที่ดีที่สุด

พบว่า แปรงที่ทำจากขนธรรมชาติ เช่น ขนหมูป่า ดีที่สุด เพราะนอกจากช่วยสางผมได้ดี เพิ่มความเงางามให้เส้นผม ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ ปัญหาคือ แปรงประเภทนี้ราคาค่อนข้างสูง แนะนำให้เลือกแบบที่ทำจากขนธรรมชาติและขนสังเคราะห์ปนกัน เพื่อให้ได้แปรงคุณภาพในราคาที่ย่อมเยากว่าเดิม

8.ใช้เครื่องประดับผมอย่างระมัดระวัง

ไม่ควรใช้ยางรัดผมที่ประดับด้วยโลหะบ่อยเกินไป เพราะอาจขูดเส้นผมให้ฉีกขาดได้ และควรใช้ที่รีดผมที่ทำจากผ้าหรือยางเนื้อนุ่ม เพราะช่วยดูแลทะนุถนอมเส้นผมได้ดี

9.ตัดผมให้ถูกทรง 

หมั่นคอยดูแลเส้นผมของคุณอยู่เสมอ ช่วยให้คุณดูดีอย่างเป็นธรรมชาติค่ะหมั่นคอยดูแลเส้นผมของคุณอยู่เสมอ ช่วยให้คุณดูดีอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

ถ้าเส้นผมคุณมีสุขภาพดีอยู่แล้ว ให้ช่างตัดผมใช้กรรไกรเล็มผมออกแบบตรงๆ จะทำให้คุณดูมีผมที่หนาขึ้น ถ้าผมคุณดูลีบแบน ให้ม้วนผมด้วยโรลแล้วฉีดสเปรย์ จากนั้นเป่าให้แห้งอย่างรวดเร็วแล้วคลายออก วิธีนี้จะช่วยเพิ่มวอลุ่มให้เส้นผม

10.ทำสีผมในราคาประหยัด

หาโรงเรียนเสริมสวยที่ได้มาตรฐานใกล้บ้าน แล้วสมัครเป็นหุ่นทดลองให้นักเรียนได้ฝึกฝีมือ คุณอาจได้ทำสีผมฟรีหรือเสียแค่ค่าครีมเปลี่ยนสีผม การทำผมในแบบดังกล่าวปกติจะมีอาจารย์หรือผู้เชี่ยวชาญดูแลการทำผมอย่างใกล้ชิด ทำให้คุณสามารถมั่นใจกับทรงผมที่ออกมาได้ค่ะ

เส้นทางสุขภาพเพื่อผมสวย

คนส่วนมากมักมาพบแพทย์ผิวหนังด้วยเรื่องปัญหาผมร่วงหรือผมบาง ซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น ผมร่วงเฉพาะที่ (Alopecia areta) ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียด เป็นต้น ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และระหว่างนี้ คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามที่แพทย์ผิวหนังจะโดนถามบ่อยมาก ผมจึงรวบรวมเคล็ดลับการดูแลผมซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นานๆ ครับ

อย่ายุ่งกับผมมากนัก

เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่างๆ มากมายนอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้ แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไป จนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ครับ

เลือกหวี (comb) ที่ดี

สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผม หรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือ การหวีผม เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไป ก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้ และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon) เคลือบไว้ที่ฟันด้วยก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หน เพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ เพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานานๆ ผมจะร่วงมากกว่าครับ เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5-10 ครั้งก็พอแล้ว

เลือกแปรง (brush) ที่ดี

ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆ ติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่กำลังนิยมกันมาก คือแปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อ ก็คือลองแปรงผมของคุณ ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวด ก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ

อย่าหวีผมตอนผมเปียก

เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อที่จะให้ผมดูดี แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมาก ไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้ว จึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่าครับ

ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน

คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้านหรือใช้ที่ครอบผม (hood) ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้ และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด “bubble hair” ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ (แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกันครับ

อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ

ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะ บางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะหรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ ร่วมกับแชมพูยาสระผม และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทานเพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรกครับ

ลองใช้ conditioning shampoo ดู

ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้น มักมีผมที่เสียมากพอสมควร การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้ แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกัน โดยใช้ครีมนวดผม (conditioner) ตามหลังแชมพู

ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม

instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน (silicon) ประกอบด้วย การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ

ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน

การ ใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง โดยการหมักไว้ประมาณ 20-30 นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil) หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง

ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป

คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้ง เพราะอยากเก็บผมไว้นานๆ แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์ แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วย

6 เคล็ดลับกระชับผิวสวย

  สูตรผิวสวยจากธรรมชาติ


สตรอเบอร์รี่
1. สตรอเบอร์รี่เพื่อผิวสะอาดหมดจด

ประโยชน์: อุดมไปด้วยวิตามินและกรดเอเอชเอ ปรับสภาพผิวและลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดี

วิธีใช้: ผสมสตรอเบร์รี่ 2-3 ผลกับน้ำมะนาว นำมานวดให้ทั่วใบหน้า แล้วจึงล้างออก

ส้ม
2. ส้มเพื่อกระชับรูขุมขน

ประโยชน์: ส้มจะช่วยสมานและกระชับผิว

วิธีใช้: ผสมน้ำส้มสด 2-3 หยดกับน้ำแร่ จานั้นนำสำลีมาชุบแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้าเหมือนโทนเนอร์ทั่วๆ ไป

ผักกาดแก้ว
3. ผักกาดแก้วเพื่อผิวกระจ่างใส

ประโยชน์: ลดการอักเสบของผิว และช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม

วิธีใช้: นำผักกาดแก้ว 4 ใบ มาต้มประมาณ 10 นาที ทิ้งให้เย็นแล้วกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำสำลีมาชุบน้ำที่กรองไว้ เช็ดให้ทั่วใบหน้า

มะนาว
4. มะนาวเพื่อปรับสภาพผิวหน้าอก

ประโยชน์: กรดธรรมชาติและสารฟลาโวนอยด์ในมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าออกและกระชับผิวให้ตึงขึ้น

วิธีใช้: นวดหน้าอกด้วยน้ำมะนาวทุกเย็น

น้ำผึ้ง5. น้ำผึ้งเพื่อลดรอยคล้ำรอบดวงตา

ประโยชน์: น้ำผึ้งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม

วิธีใช้: ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนกาแฟ กับน้ำแร่อุ่นๆ ครึ่งแก้ว จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วนำมาวางบนผิวบริเวณรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง

มันฝรั่ง

6. มันฝรั่งเพื่อลดถุงใต้ตา

ประโยชน์: จะช่วยลดการอักเสบของผิวได้

วิธีใช้: หั่นมันฝรั่งเนชิ้นเล็กๆ แล้วพอกไว้หนาๆ บริเวณใต้ดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

3 ขั้นตอน ผิวสวยใสธรรมชาติ

 สูตรดูแลผิวให้สวยอย่างเป็นธรรมชาตินั้นมีอยู่ นั่นก็คือ 3 ขั้นตอนพื้นฐาน อย่างการอาบน้ำ ขัดผิว และบำรุงผิว…แต่เดี๋ยวก่อน ถึงฟังดูง่าย แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดนัก เพราะ 3 ประการเหล่านี้ ก็มีเคล็ดลับให้ผิวได้สวยซ่อนอยู่ ลองมาดูกันหน่อยไหมว่า สวยเรียบง่าย แต่ฉลาดใช้เทคนิคจากธรรมชาตินั้นมีอะไรบ้าง

ขั้นตอนที่ 1:  อาบน้ำให้ผิวสะอาด

        เราอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง แต่หลายคนอาจใช้เวลานี้แค่เพียงการทำความสะอาด ทั้งที่จริงแล้วเราสามารถตักตวงเคล็ดลับความงามกันได้ นั่นก็คือ ช่วงเช้าให้อาบน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำเย็น เพราะจะช่วยกระตุ้นทุกประสาทให้ตื่นตัว และทำให้ผิวกระชับได้ด้วย หรือจะเพิ่มความสดชื่นของวันใหม่ด้วยครีมอาบน้ำกลิ่นพืชพรรณหรือผลไม้จากธรรมชาติก็ยิ่งดีใหญ่ อย่าง มิ้นต์ มะละกอ มะยม มะเฟือง เป็นต้น จะได้เริ่มวันใหม่แบบสดชื่นไปทั้งวัน

        ส่วนในช่วงเย็นลองมาผ่อนคลายอารมณ์ก่อนเข้านอนด้วยน้ำอุ่น ใช้เวลาช่วงนี้กับการอาบน้ำให้ผิวได้ผ่อนคลาย หรือการใช้ผลิตภัณฑ์กลิ่นอโรม่าที่มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลอารมณ์ไปในตัว อย่างกลิ่นจากดอกมะลิ พิกุล จำปา ส้ม เป็นต้น  

ขั้นตอนที่ 2: ขัดผิวให้ขาวใส
   

        ไม่เพียงแต่ผิวหน้าเท่านั้น แต่ผิวตัวก็สะสมแบคทีเรีย และสิ่งอุดตันรูขุมขนไว้สารพัด อย่างนี้แล้วต้องกำจัดเสียหน่อยเพื่อให้ผิวเรียบเรียนขึ้น กระชับขึ้น (จากการนวด) แล้วยังกำจัดเซลล์ผิวเก่าออกไป และทำให้ผิวได้หายใจได้ด้วย เพื่อให้การบำรุงผิวไม่ว่าจากโลชั่น หรือจากน้ำมันนวดตัวได้ลงไปถึงผิวได้ลึกล้ำขึ้นไปในตัว และ เคล็ดลับอยู่ที่การขัดผิวสักอาทิตย์ละครั้งนี่ล่ะ โดยเฉพาะในช่วงเย็นของวัน (ส่วนผิวแห้ง สองอาทิตย์ครั้งก็น่าจะดี) เน้นสักนิดกับจุดหยาบกร้าน อย่างตามข้อศอก หัวเข่า เท้าและตาตุ่ม เมื่อนวดเนื้อครีมลงไปให้นวดวนด้วยฝ่ามือเป็นวงกลม ลงน้ำหนักสักนิด เพื่อให้เลือดลมภายในไหลเวียน แต่ไม่นานจนเกินไป ไม่เช่นนั้นผิวอาจระคายเคืองได้

ขั้นตอนที่ 3: บำรุงผิวให้อิ่มน้ำ

        ได้ผิวสวยๆ ใสๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วใช่ไหม อย่างนี้แล้วเรากำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย กับการบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น น่าสูดดมด้วยกลิ่นหอมๆ จากบอดี้โลชั่น หรือน้ำมันนวดผิว ที่เดี๋ยวนี้มีกลิ่นหอมๆ ให้เลือกสารพัด เคล็ดลับคือดูสภาพผิวของเรา ที่คนผิวแห้งจำเป็นต้องเลือกสารสกัดที่มีน้ำเป็นส่วนผสมมากหน่อย หรือใช้แบบบัตเตอร์ ที่มีปริมาณไขมันมาก ทำให้ผิวดูชุ่มชื่นขึ้นทันที ส่วนคนผิวมัน ลองเลือกแบบโลชั่น ที่เบาสบายผิวสักหน่อย เมื่อใช้ให้นวดต้านแรงโน้มถ่วง เช่นเมื่อทาแขนก็ให้จากล่างขึ้นสู่ด้านบน หรือทาแล้วนวดไปด้วยเพื่อกระตุ้นให้ผิวหนังได้ยืดหยุ่นไปด้วย